
การเป็นนักสืบ ต้องมีความกถ้าในการตัดสินใจที่จะดำเนินการหรือไม่ดำเนินการสิ่งใด
นักสืบ ที่ดีจะต้องมีการวิเคราะห์และประเมินเหตุการณ์อย่างรอบคอบ ต้องไม่ใจร้อน การเร่งรีบเกินไปในการปฏิปัติ ภารกิจ การสะกดรอยติดตามเป้าหมายอย่างกระชั้นชิดเกินไป ก็อาจทำให้เป้าหมายรู้ตัว อันเป็นผลให้ภารกิจล้มเหลว ซึ่งอาจทำให้เกิดฮันตรายขึ้นกับตัวนักสืบเองหรือผู้ว่าจ้างก็เป็นได้ เมือเป็นเช่นนั้น ย่อมทำให้นักสืบคนนั้นก็ไม่สามารถปฏิปัติภารกิจเดิมได้อีก ต้องเปลียนตัวนักสืบ ซึ่งนักสีบคนใหม่ที่เข้ามาทำงานแทนก็จะทำงานได้ยากกว่าเดิม เพราะเป้าหมายจะต้องระวังตัวเพิ่มมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เป้าหมายมีหมายจับ หรือมีความผิดติดตัว ก็จะทำให้เป้าหมายหาสถานที่หลบซ่อนตัวใหม่ เป็นผลให้ทีมงานนักบก็ต้องมามต้นใหม่ในการสับหาตัวเป้าหมายอีก
นักสืบต้องไม่ใจเย็นเกินไป เพราะการที่ทำอะไรชักช้าเกินไป เฝ้ารอดูการเคลื่อนไหวของเป้าหมายอยู่แต่ภายนอกอย่างเดียวก็อาจทำให้ภารกิจล้ม เหลวได้ เช่น นักสืบได้สะกดรอยตามเป้าหมายไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วเฝ้ารอดูอยู่แต่ด้นนอกเพราะกลัวเป้าหมายจะรู้ตัวว่าถูกติดตาม โดยไม่พยายามทีจะเข้าไปสำรจสถานที่นั้น ทำให้ไม่รู้ว่าสถานทีแห่งนั้นยังมีทางออกทางนอีก ซึ่งอาจทำให้คลาดกับเป้าหมายได้ถ้าเป้าหมายออกไปอีกทางหนึ่ง หรือการติดตามเป้าหมายโดยการเฝ้าติดตามยานพาหนะของเป้าหมาย
โดยคิดแต่เพียงว่าถ้ารถค้นนี้เคลือนตัวออกไป จะต้องเป็นเป้าหมายที่เป็นคนใช้รถนนี้อย่างแน่นอน โยไม่พยายามเข้าไปตรจสอบดูว่าใครเป็นผู้ที่ใช้รถค้นนี้กันแน่ โดยการตามไปห่างๆ หรือการรอดูแต่สัญญาณจากเครื่องมือที่ติดไว้ที่รถเป้าหมาย กว่าจะรูตัวว่าสะกดรอยตามผิดคน แล้วนักสืบย้อนกลับมาหาเป้าหมายยังสถานที่เดิมอีกที่ ก็อาจหาเป้าหมายไม่พบแล้ว การกิจก็ล้มเหลว นักสืบที่ดีจึงควรมีการคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจเฉพาะหน้าในเหตุการณ์นั้นๆ ได้ดีด้วย จึงจะทำให้สามารถบรรลุภารกิจได้ดี
การรอคอยในงานนักสืบ การรอคอยเป็นสิ่งที่ดี แต่นักสืบไม่ควรรอคอยนานเกินไป
นักสืบ ที่ดีต้องมีความอดทน ความอดทนเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่นักสับถูกสอนมาตลอดจากนักสีบรุ่นเก่าๆ ให้อดทนรอคอย แต่การรอคอยนั้นควรมีการกำหนดระยะเวลาด้วย คือถ้าเห็นว่าเหตุการณ์ดูเงียบเกินไป หรือระยะเวลาในการเฝ้ารอเป้าหมายนานเกินไปแล้ว เป้าหมายไม่เคลื่อนไหวเลย นักสีบจะต้องรายงานให้หัวหน้าทีมส์บสวนทราบ
เพื่อหาทางตรวจสอบให้ได้ว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับเป้าหมายหรือไม่ หรือว่าเป้าหมายยังคงอยู่ในห้องพักตัวเองหรือไม่ หรีอว่าเป้าหมายได้หลบหนีออกไปโดยวิไตวิหนีงที่นักสืบตรวจสอบไม่พบแล้วก็เป็นได้ อีกทั้งการที่นักบอยู่ฝ้าเป้าหมายในสถานที่เดิมเป็นเวลานานๆ ก็จะเป็นที่สังเกตของคนทั่วไปได้ง่ย งนั้นนักสีบทีตีควรต้องมีการตรวจสอบเป้าหมายเป็นระยะตามสมควร ไม่ใช่กรอดทนรอเวลาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเป้าหมายก็เป็นคนเหมือนกับเรา มีไหวพริบปฏิภาณเหมือนกันกับนักสับ ย่อมสังเกตเห็นสิงผิดปกติได้อย่าแน่นอน
ความจริงกับงานนักสืบ นักสืบต้องพูดความจริง
นักสืบ ต้องพูดความจริง การพูดความจริงเป็นคุณสมบัติกข้อที่สำคัญยิ่งในการเป็นนักสืบ ในการปฏิบัติงานสืบสวนนั้นต้องมีการทำงานเป็นทีม ตั้งนั้นภายในทีมงานนักสืแต่ละคนจะต้องไม่มีการโกหกกัน ต้องพูดความจริงกัน ถ้าโกหก หรื้อกล่าวเท็จต่อกันแล้วจะทำให้ภารกิจล้มเหลว หรืออาจเกิดฮันตรายขึ้นกับตัวนักบได้ เช่น นักบทีหงได้รับมอบหมายภารกิจให้ไปฝ้าสะกตรอยตามเป้าหมายยังสถานที่แห่งหนึ่ง หัวหน้าทีมนักบ ด้ทำกรสำรวจสถานที่แล้ว มีการวางแผน มอบหมายงานให้นักบแต่ละคนเฝ้าเส้นทางเข้าออกของเป้าหมาย
เป็นอย่างดี แต่มีนักส์บคนหนึ่งในทีมได้รับมอบหมายให้เฝ้าเส้นทางหงนั้น มีเหตุจาเป็นที่จะต้องไปทำธุระส่วนตัวที่นสักพัก แต่ไม่แจ้งให้หัวหน้าทีมนักสืบทราบ เพื่อจะได้ส่งนักสับคนนให้มาเฝ้าเส้นทางนั้นแทน แต่ได้รีบไปทำธุระส่วนตัวแล้วรีบกลับมาโดยไม่แจ้งให้ทีมงานทราบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เป้าหมายได้หลบหน็ออกไปตามเส้งทางนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานจนผิดปกติแล้ว หัวหน้าทีมนักสิบไต้ตรวจสอบกับนักสืบทุกคน ต่างยืนยันว่าได้ฝ้าเป้าหมายอยู่ตลอดเวลายังไม่เห็นเป้าหมายออกไปเลย กว่าทีทีมงานจะหาวิธีเข้าไปตรวจสอบภายในที่พักตังกล่าว เป้าหมายก็เดินทางไปใกลแล้ว ทำให้ภารกิจล้มเหลว ซึ่งในกรณีนี้ถ้นักสืบคนนั้นพูดความจริง ก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้แน่นอน ภารกิจคงสำเร็จลล่วงไปแล้ว
ความผิดพถาดในงานนักสืบ นักสืบต้องยอมรับความผิดพฤาดได้
นักสืบ ก็เป็นคนปกติเหมือนบุคคลทั่วไป ที่เวลาทำอะไรแล้วย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เมื่อนักสืบปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายผิดพลาดแล้ว ต้องยอมรับความผิดพลาดนั้น ต้องแจ้งให้หัวหน้าทีมนักสับทราบทันทีที่มีความผิดพลาด เพื่อจะได้หาหนทางแก้ไขความผิดพลาดนั้น อันจะนำไปสู่การปฏิบัติภารกิจที่สำเร็จลล่วงด้วยใด้ แต่ถ้านักสืบไม่ยอมรับความผิดพลาดแล้วปฏิปัติภารกิจไปตามปกติ
เหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น ก็อาจทำให้ภารกิจนั่นประสบความล้มเหลวได้ เช่น นักสืบคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าติดตามสะกตรอยสั่งเกตพฤติกรรมเป้าหมาย แต่ได้คลาดกับเป้าหมายไม่รู้ว่าเป้าหมายเดินทางไปที่ไหน แล้วไม่แจ้งให้หัวหน้าทีมนักสืบทราบเรื่อง แต่นักสืบคนนั้นรายงานกลับไปว่าเป้าหมายไม่มีการเคลื่อนไหว หรือไม่พบเป้าหมาย ทำให้ทีมงานนักสืบทำงานต้องเฝ้าเป้าหมายอยู่ที่เติมทั้งที่เป้าหมายไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ภารกิจจึงไม่มีความคืบหน้าหรีอล้มเหลวนั่นเอง แต่ถ้านักบรายงานกลับไปตามความจริงในทันทีทันใดที่คลาดกันกับเป้าหมายทางทีมงานนักสืบก็จะได้รีบหาวิแก้ขเพื่อตามตัวเป้าหมายได้ในเวลานั้น ซึ่งจะสามารถทำให้ปฏิบัติหน้าทีได้สำเร็จลุล่วงไปได้
ความน่าเชื่อถือของข่าวในงานนักสืบ นักสืบต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
นักส์บ ส่วนมากต้องมีการหาข่าวจากแหล่งข่าว แหล่งข่าวหรือสายข่าวมีความสำคัญเป็นอย่างมากในงานของนักสับ การหาข่าวหรือหาข้อมูลทุกระดับชั้นในงานของนักสืบ เป็นสิ่งที่นักสับทุกคนต้องปฏิบัติ เพราะนักสืบมีหน้าในการพิสูจน์ความจริงในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย การรวบรวมข้อมูลข่าวสารของนักบนั่นแบ่งได้เป็นหลายประเภท เช่น ข้อมูลข่าวสารที่นักบพบเห็นหรือได้จากการพิสูจน์ทราบเองของนักส์บ ข้อมูลข่าวสารได้จากตัวผู้ว่าจาง และข้อมูลข่าวสารได้จากสายลับหรือแหล่งข่าว โดยนักสับจะต้องทำการวิเคราะห์ว่า
ข้อมูลข่าวสารได้มานั้น ว่ามีความน่าเช็อถือเพียงใด เช่น นักบต้องการสับหาที่อยู่ของเป้าหมายที่หลบหนีอยู่ แต่นักสืบกสับไปถามหาเป้าหมายกับญาติพีน้องของเป้าหมายโดยที่ไม่ทราบว่าเป็น คำตอบได้รับกสับอออกมาก็ไม่น่าจะเป็นความจริงอยู่แล้ว เพราะญาติพี่น้องย่อมช่วยเหลือ ปกปิด แหล่งที่ซ่อนของเป้าหมายอยู่แล้ว
และที่แย่กว่านั้นคือญาติพี่น้องได้ส่งข่าวบอกให้เป้าหมายรู้ตัวแล้วว่ามีคน มาตามหาตัวทำให้เป้าหมายหลบหนีไปที่อื่น ภารกิจของนักสืบก็จะล้มเหลวสายข่าวบางคนให้ข้อมูลมาอาจจะให้ข้อมูลที่เกินจริง เพราะต้องการได้รับความสำคัญจากนักสืบ หรือต้องการค่าตอบแทนจากการให้ข่าว หรือสายขาวบางคนก็ให้ข้อมูลจากความเชื่อของตนเอง โดยไม่ค่อยจะมีความจริงเท่าใด นักบจึงต้องมีการคิดวิเคราะห์ก่อนว่าจะถามข้อมูลจากแหล่งข่าวคนใค ข้อมูลได้มานั้นมีความถูกต้องแม่นยำมากน้อยเพียงใด เป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นเพียงความเห็นของแหล่งข่าวเท่านั้น จึงจะได้ข้อมลทีถูกต้อง สามารถทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้
การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม นักสืบต้องไม่ทำตัวให้เปินจุดสนใจของใคร
นักสืบ ต้องทำตัวให้ธรรมดาที่สุต ไม่โดดเด่น ในระหว่างกรปฏิปัติงานนักบนั้น นักบอาจจำเป็นที่จะต้องมีการปกปิด หรือพรางตัว ไม่ต้องการให่ใคร (โดยเฉพาะเป้าหม่าย) ทราบว่าเราเป็นนักสืบ ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือการทำตัวให้กลมกลิ่นกับสภาพแวดล้อม อย่าทำตัวแปลกแยก เป็นจุดเด่นเป็นสนใจของชาวบ้น ไม่ไปคุยโม่โอ้อคว่าตัวเองเป็นนักบ มาทำกรสับสวนหาตัวเป้าหมาย เพราะจะทำให้เป้า
หมาย ญาติของเป้าหมายรู้ตัว (โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะขอข้อมูลจากบุคคลในพื้นที ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะบุคคลหล่านี้อาจจะเป็นญาติหรือมีความสนิทสนมกับครอบครัวของเป้าหมายก็ เป็นไปได้ หรือผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย รู้ความเคลื่อนไหวของเป้าหมายก็อาจที่จะไม่กล้าให้ข้อมูลกับนักสืบเพราะเกรง กล้วว่าจะเกิดฮันตรายขึ้นกับตนการเปิดเผยฐานะของนักสืบจึงไม่ก่อให้กิดประโยชน์ในการทำงานแต่อย่างใค
ขั้นตอนการปฏิบัติของนักสืบ ไม่มีนักสืบที่เก่งมีแต่นักสืบที่ขยันเท่านั้น
นักสืบ ไม่สามารถใช้เครื่องมือชนิดใดในการวัดว่ใครมีความสามารถมากกว่ากัน ส่วใหญ่แล้วนักสืบไม่มีใครเก่งกว่ากันมากนัก แต่อยู่ที่ใครขยันมากกว่ากันงสามารถทำงนได้ประสบผลสำเร็จมากกว่ากัน งานของนักสืบเป็นการสับหาข้อเท็จจริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสืบสวน ซึ่งวิธีที่จะหาข้อเท็จจริงนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี ซึ่งนักบส่วนใหญ่จะพอมองออกว่ามีวิธีการใดบ้าง เช่น งานขึ้นหนึ่งมีวิธีในการ
สืบเพื่อหาความจริง 10 วิ แต่มีวิธีการได้ความจริงอยู่วิธีเดียวเท่านั้น นักบคนหนึงได้ทำไปได้ 8 วิธี ก็สามารถหาคำตอบได้ นักสืบอีกคนหงใช้เพียงวิธีเดียวก็สามารถหาคำตอบได้เลย แต่นักสืบอีกคนอาจทำไปได้ 5 วิธี ยังไม่ด้คำตอบ ก็ไม่คำเนินการต่อแล้ว ก็จะไม่สามารถหาคำตอบได้เลย งนั้นจะเห็นได้ว่านักสืบที่มีความขนขันแข็งในการปฏิปัติหน้าที่ จะทำให้ทำงานได้ประสบผลสำเร็จได้มากกว่านักสืบทีมี
ความเกียจคร้าน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของนักบด้วย ว่าจะสามารถข้าถึงข้อมูลข่าวสารทีเป็นประโยชน์ต่อการส์บสวนมากน้อยเพียงไร (เช่นข้อมูลด้านการติดต่อสื่อสาร์ หรือข้อมูลด้านการเงินของเป้าหมาย) เพราะนักสี่บที่มีข้อมูลพื้นฐานในการสืบสวนมากกว่าย่อมมีโอกาสในการประสบผล สำเร็จในงานบสวนมากกว่านั่นเอง
การเป็นนักสืบ ต้องทำความรู้จักเป้าหมายให้ดีที่สุดก่อนถงมือปฏิบัติการ
นักสืบ ที่ดีเมื่อ รับงานมาจากผู้ว่าจ้างแล้ว จะต้องหาข้อมูลเก็ยวกับเป้าหมายให้มากที่สุด โดยถ้าเป็นงานสะกครอยติดตามพฤติกรรม หรือการสืบชู้สาว ก็จะต้องหข้อมูลเกียวกับเป้าหมายที่นักสืบจะต้องติดตามให้มากที่สุด เช่น เป้าหมายนั้นเป็นใคร พักอาศัยอยู่ที่ใด ประกอบอาชีพอะไร ใช้ยานพาหนะอะไร มีกิจวัตรประจำวันอย่างไรบ้าง ชอบไปเที่ยวไหน เข้าหรือออกจากพี่พักเวลาใด มีนิสัยใจคอ
เป็นอย่างไร หรือน่าจะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับใคร(ตามความเห็นของผู้ว่าจ้าง โดยวิธีการที่นักสืบจะหาข้อมูลที่ง่ายที่สุดและดีที่สุดก็คือการซักถามจาก ผู้ว่าจางนั่นเอง โดยเมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดของเป้าหมายมาแล้ว นักสืบต้องเอาข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบในการวางแผนการทำงาน ว่าจะใช้วีการใดในการติดตามเป้าหมาย จะใช้พาหนะแบบใด นักสืบต้องอำพรางตัวหรือไม่อย่างไร จะสามารถใช้เครื่องมือนช่วยใน
การติดตามได้หรือไม่ หรือถ้าในระหว่างที่นักสับกำสังดตามเป้าหมายอยู่น เกิดเป้า หมายหลุดไประหว่างทาง นักบจะต้องไปต้กรอพบเป้าหมายอีกใค ซึ่งจะทำให้งานบรรลุผลได้ง่ายขึ้นจะเห็นได้ว่าข้อมูลหลานี้เป็นสั่งที่สำคัญและจำาเป็นมากในงานสิบสวน ผู้ว่าจ้างจึงจำาเป็นที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมากที่สุดเกียวกับเป้าหมาย ให้นักสืบด้วย เพื่อความสำเร็จของงานนั้นๆ
การเป็นนักสืบ ต้องรายงานความคืบหน้าของภารกิจให้ผู้ว่าจ้างทราบเป็นระยะ
นักสืบ ที่ดีต้องเป็นผู้ประสานงานที่ดีด้วย สั่งที่จำป็นสำหรับงานส์บสวนอิกอย่างหนึง คือการติดต่อประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับผู้ว่าจ้างเป็นระยะ การที่นักสีบรายงานความคีบหน้าของงนให้กับผู้ว่าจ้างทราบเป็นระยะ นอกจากจะทำให้ผู้ว่าจ้างเกิดความสบายใจ รู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง และได่รับรู้ความคืบหน้าของงานตลอดแล้ว ยังทำให้นักสืบได้รู้ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากผู้ว่าจ้างได้อีกด้วยโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องการสืบชู้สาว ผู้ว่าจ้างจะ มีความต้องการทราบความบหน้าของการสับสวนเป็นอย่างยิ่ง และในเรืองนี้ผู้ว่าจ้างก็สามารถช่วยงานนักบได้มาก โดยผู้ว่าจางจะรู้ข้อมูลของเป้าหมายเกือบทุกว่า เช่นรู้ว่าเป้าหมายออกจากบ้านเวลาใด ใช้รถยนต์คันไหนออกไป หรือจะออกไปต่างจังหวัด หรือไม่กลับไปค้างคืนที่บ้านหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทำให้งานของนักสืบง่าย
เทคโนโถนงานนักสืบ นักบต้องใช้เทคโนโถมัยใหม่ให้เกิดประโยชน์
นักสืบ ต้องไม่เป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ปัจจุบันนี้เทคโนโลได้มีการพัฒนา วิวัฒนาการให้ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วันนักสืบจึงต้องมีการเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น เพื่อช่วยให้งานสืบสวนประสบผลสำเร็จง่ายขึ้น เช่น การหาข้อมูลจากอินเตอร์เนต (ข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เนตจำเป็นที่นักสืบจะต้องมีการพิสูจน์เสียก่อนว่า มีความจริงมากน้อยเพียงไร จึงจะสามารถนำ
ข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้ เพราะข้อมูลจากอินเตอร์เนตมีความน่าเชื่อถือน้อย) การใช้ข้อมูลจากการติดต่อสื่อสาร (ข้อมูลการใช้โทร์ศัพท์ สามารถบอกอะไรแก่นักบได้หลายอย่าง เช่น หมายเลขที่โทรออกหรือรับสาย การส่ง smร หรือสถานที่ที่ใช้โทรศัพท์นั้นๆ ) การใช้ข้อมูลทางด้านการเงินการธนาคาร (คนส่วนใหญ่ต้องมีการทำธุรกรรมด้านการเงินกับทางธนาคารอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีคนที่ทำงานได้เงินแล้วจะเอาเงินไปเก็บไว้ที่บ้านทั้งหมดแน่ ตอลดจนข้อมูลปัตรเครติต ข้อมูลการประกันสังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับนักสิบอย่างมากในการทำงาน ช่วยให้ภารกิจบรรลเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
ความถับของถูกค้า นักสืบที่ดีต้องรักษาความลับของผู้ว่าจ้างไม่นำไปเผยแพร่ต่อบุคคถอื่น
นักส์บ ต้องเป็นคนที่รักษาความลับได้ดี เมื่อมีการติดต่อว่าจ้างจากผู้ว่าจ้างให้ นักสืบทำการสืบสวนในเรื่องใดแล้ว ข้อควรปฏิปัติอย่างหงที่นักสืบต้องยืดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ การรักษาความลับของผู้ว่าจ้าง ไม่ ว่าจะมีการว่าจ้างนักบเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรื้อเป็นเพียงขั้นตอนในการติดต่อสอบถามเพื่อการตัดสินใจของผู้ว่าจ้างก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดของการปฏิบัติงาน หรือเมื่อภารกิจนั้นสั้นสุดลงนักสืบได้ทำการส่งมอขงานให้กับผู้ว่าจ้างแล้วก็ตาม ความรับผิดชอบของนักบในการรักษาความลับของผู้ว่าจ้าง ยังคงมีอยู่ตลอดไป ไม่ได้สิ้นสุดลงไปตามภารกิจที่มีการว่าจ้างกันนั้น นักสับจะต้องรักษาความลับนั้นตลอดไป ต้องไม่มีการนำไปเผยแพร่ให้บุคคลนทราบ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ทั้งนี้รมถึงญาติ และพรรคพวก เพื่อนฝูงของนักสืบเองด้วย เพราะถ้ามีผู้นรู้ความสับตังกล่าวแล้ว เรื่องนั้นจะไม่เป็นความ
สับอีกต่อไป เพราะว่ารื่องราวความลับบางอย่างนั้นอาจมีความสำคัญเกี่ยวเองกับ เกียรติยศและชื่อเสียงของผู้ว่าจ้าง หากเรื่องราวเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว ผู้ว่าจ้างอาจเสื่อเสียช็อเสียง นักสืบเองก็จะขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครเลยทั้งตัวผู้ว่าจ้างและนักสืบเอง ดังนั้น การรักษ าความลับของผู้ว่าจ้าง จึงเป็นหน้าทีและความรับผิดชอบโดยตรงของนักสืบ เพราะการที่ผู้ว่าจ้างยินยอมที่จะเล่าความลับของตนเองให้กับนักสืบทราบเพื่อ ให้ข้อมูลแกนักสืบมากสุด
เพื่อที่นักบจะได้ทำงานได้บรรสุวัตถุประสงค์ของผู้ว่าจ้าง (ทั้งๆ ที่ความสับบางเรื่องผู้ว่าจ้างยังไม่กล้าเล่าให้ญาติพีน้องทราบเลย) หมายความว่าผู้ว่าจ้างย่อมให้ความไว้วางใจในตัวนักสืบ การทีนักสิบนำเรืองราวเหล่านั้นของผู้ว่าจ้างไปเปิดเผยทั้งโดยเจตนาหรือ ไม่จตนาก็ตาม ก็เป็นการทำลายความไว้ใจที่ผู้จ้างมีต่อตัวนักสืบ เป็นการทำลายชื่อเสียงเกียรติยศ ความไว้เนื้อเชื่อใจของตัวนักสืบเอง ดังนั้นการรักษาความลับของลูกค้า จึงเหมือนเป็นกฎข้อปังคับฮันสำคัญของนักสืบ ทีนักสืบต้องปฏิปัติอย่างเคร่งครัด
ความจริงกับงานนักสืบ นักสืบไม่ควรพูดจาเกินจากความเป็นจริง
นักสืบ ต้องพูดแต่ในสั่งที่สามารถทำได้ ในโลกของนักบนั่น ไม่มีงานใดของนักบทีสามารถรับรองผลการปฏิบัติงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เต็มจนกว่านักสืบจะปฏิบัติงานเสร็จสิ้น เพราะงานทุกงานเมือนักสืบลงมือทำแล้วอาจมีตัวแปรหลายอย่างไม่เหมือนกันเกิดขึ้น นักส์บจะเอาผลสำเร็จของงานหนึ่ง มาเปรียบเทียบกับอิกงานหงนั้น ไม่สามารถที่จะกระทำได้ นักสับจึงไม่ควรคุยโอ้อวดกับผู้ว่าจ้างว่าสามารถส์บเรื่องราวใดๆก็ได้ แต่นักสับควรจะคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับงานแต่ละงานจากข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างมีมาให้ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อย
เพียงใดในการทำตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง หากนักสับคิดว่าสามารถทำงานนั้นได้จึงคอยรับงานนั้น โดยทำความตกลงกับผู้ว่าจ้างให้แน่ชัดในขอบเขตของงาน ค่าจ้าง และระยะเวลาในการทำงาน โดยนักสืบควรจะอธิบายขั้นตอนในการทำงานของนักสืบในงานนั้นให้ผู้ว่าจ้างทราบ ด้วย แต่หากพิจารณาดูแล้วคิดว่างานนั้นนักสืบไม่สามารถทำตามความประสงค์ของผู้ว่า จ้างได้อย่างแน่นอน ก็ให้ปฏิเสธงานนั้นไปโดยครจะอธิบายเหตุผลนั้นห้กับผู้ว่าจ้างได้เข้าใจด้วย ว่าทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะผู้ว่าจ้างบางคนยังมีข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับงานนั้นอยู่อีกแต่ยังไม่ยอมเล่าให้กับนักสืบฟังไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ซึ่งถ้ได้ข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเต็ม อาจทำให้นักสืบสามารถรับงานนั้นจากผู้ว่าจ้ำงได้
คุณธรรม จริยธรรมในงนนักสบ นักสืบต้องมีคุณธรรมแถะจรรยาบรรณของนักสืบ
นักสับ ที่สามารถบหาความจริง หรือมีพยานหลักฐานประกอบในการบรรจุวัตถุประสงค์ของการสืบนั้นแล้วนักสืบไม่ ควรนำข้อมูลหรือพยานหลักฐานที่ได้มานั้นกลับไปข่มขู่คุกคามเป้าหมาย เพื่อห้จ่ายผลตอบแทน หรี่อการขอผลประโยชน์อย่างหนึงอย่างใดแก่นักสืบหรือบุคคลอื่นใต้ เพื่อแลกกับการที่นักสืบไม่เปิดเผยความลับของเป้าหมาย การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ถือเป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรมและจริยธรรมอย่างร้ายแรง และยังเป็นความผิดฐานรีดเอาทรัพฮันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย นักสืบจึงต้องเข้าใจว่า นักสีบมีหน้าทีในการสืบสวนเพื่อให้บรรลุตามวัตประสงค์ของผู้ว่าจ้างเท่า นั้น ห้ามนำเอาความลับของเป้าหมายมาใช้เพื่อการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อตัวเอง เมื่อนักสืบทำงานบรรลุเป้าหมายแล้วต้องส่งมอบงานให้ผู้ว่าจ้างทันที
การสั่งเกตและจดจำในงานนักบ นักสืบต้องเป็นคนช่างสั่งเกตจดจำแถะมีไหวพริบปฏิภาณดี
นักสืบ ต้องช่างสั่งเกต ในการปฏิปัติงานของนักบนั้น บ่อยครั้งที่นักบจะต้องไปทำงานในสถานทีที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือต้องติดตามสะกดรอยเป้าหมายที่นักสับไม่เคยพบตัวจริงมาก่อน เห็นภาพแต่ในรูปถ่าย ซึ่งคนบางคนดูในรูปถ่ายแล้วไม่ค่อยเหมือนกับตัวจริง และที่หนักสุดคือเป้าหมายนบุคคลที่มีหมายจับ หรือหลบหนีการจับกุม ภาพถ่ายเป้าหมายนักสืบได้รับมานั้นไม่เป็นปัจจุบัน และเป้าหมาย
อาจมีการพรางตัวด้วยการปรับเปลี่ยนบุคลิก ทรงผม ลักษณะการแต่งกาย รูปร่าง และอาจมีการทำศัลยกรรมใบหน้า หรืออาจมีการใช้เอกสารปลอมด้วย (เช่น ปัตรประจำตัวประชาชนปลอม หรือบางครั้งมีการใช้ปัตรประจำตัวประชาชนจริงแต่เป็นของคนอื่น ด้วยการอ้างว่าตนเป็นบุคคลนั้น) นักสืบจึงต้องใช้ทักษะในการสังกตจดจำลักษณะ โดยรวมของเป้าหมาย เช่น ท่ทางการเติน สำเนียงการพูด หรือลักษณะพิเศษ
เฉาะตัวของเป้าหมาย เพราะบางที่นักสิบสมารถติดตามตัวเป้าหมายพบแล้ว แต่เป้าหมายกลับอ้างว่าเป็นบุคคลอั้น ซึ่งนักสิบจะต้องหาวิธีสูจน์ทราบให้ได้ว่าบุคคลนั้นกับเป้าหมาย เป็นบุคคลคนเดียวกันจริง เช่น การตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือ แต่ง่ายที่สุดคือการพิสูจน์จากบุคคลใกล้ชิต หรือญาติพีน้องของเป้าหมายนั่นเอง
ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะได้ผลก็ต้องใช้หวพริบปฏิภาณ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนักสืบแต่ละคน ซึ่งเป็นสั่งไม่สามารถสอนกันได้ แต่ถ้านักสืบคนไหนที่ผ่านงนบสวนต้านนี้มามากจะได้เปรียบนักสิบทีมี ประสบการณ์น้อย จะเห็นได้ว่าการเป็นคนช่างสังเกตจดจำ และไหวพริบปฏิภาณที่ดีของนักสืบ จะช่วยทำให้นักสืบสามารถปฏิปัติงานได้ประสบผลสำเร็จ นักสืบ ชู้สาว