บทความ นิวยอร์ก ไทม์สระบุ ไทยและบางชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุมการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ดีกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลก อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ช่วยเกื้อหนุน ทั้งวัฒนธรรมการทักทายแบบไม่ต้องสัมผัสตัว ความพร้อมใจกันใส่หน้ากากอนามัย และระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง
เว็บไซต์ The New York Times สื่อสหรัฐอเมริกา เผยแพร่บทความ No One Knows What Thailand Is Doing Right, But So Far, It’s working โดยระบุว่าการป้องกันและควบคุมโรค โควิด-19 ของประเทศไทยยังคง ‘ได้ผลดี’ แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดจากปัจจัยใดกันแน่
ตัวชี้วัดที่สะท้อนว่าไทยมาถูกทางเรื่องการป้องกันและควบคุมโรค โควิด-19 คือ สถิติผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศมีจำนวนเพียง 3,240 ราย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 63 และสถิติผู้เสียชีวิต 58 ราย นับตั้งแต่ที่จีนยืนยันการแพร่ระบาดของโรคเมื่อเดือน ม.ค.เป็นต้นมา โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดราว 70 ล้านคนทั่วประเทศ
บทความของนิวยอร์กไทม์สระบุว่า ไม่มีใครรู้ว่า สิ่งที่ไทยทำได้อย่างถูกต้องคืออะไร แต่จนถึงขณะนี้การป้องกันโรค โควิด-19 ก็ยังได้ผลดี พร้อมประเมินปัจจัยอีกหลายอย่างที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น วัฒนธรรมการไหว้ทักทาย ทำให้คนไทยไม่ต้องสัมผัสหรือแตะต้องตัวผู้อื่น แตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่นิยมการจับมือ สวมกอด หรือจูบทักทาย ซึ่งพฤติกรรมอย่างหลังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคมากกว่า โดยข้อสันนิษฐานเรื่องการไหว้ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการสัมผัส อ้างอิงคำกล่าวของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
อีกปัจจัยที่นิวยอร์กไทมส์มองว่าน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การป้องกัน โควิด-19 ในไทยได้ผลดี คือ ความจริงจังในการสวมหน้ากากอนามัยของคนส่วนใหญ่ในสังคม รวมถึงระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง
ขณะเดียวกันก็มีข้อสันนิษฐานเรื่องพันธุกรรมของคนไทยส่วนใหญ่อาจทนทานต่อเชื้อโรคต่างๆ แต่ว่า นพ.วิพุธ พูลเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สำรวจสถานการณ์โควิด-19 ใน จ.ปัตตานี ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ โดยให้เหตุผลว่า ผลสำรวจประชากรทางใต้ของไทย ไม่พบว่ามีภูมิต้านทาน ‘ไวรัสไข้เลือดออก’ เป็นพิเศษ จึงไม่คิดว่าภูมิต้านทานไวรัสโคโรนาของคนไทยจะดีกว่าคนชาติอื่นๆ แต่อย่างใด
คุมโควิดฯ ดี แลกมาด้วยอะไรบ้าง?
แม้เวียดนามที่มีประชากรมากกว่าไทยจะไม่พบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เลยแม้แต่คนเดียว รวมถึงลาวและเมียนมาที่มีรายงานยอดสะสมผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน้อยกว่า แต่นิวยอร์กไทม์สกล่าวว่า ไทยสามารถรับมือกับโควิด-19 ได้ดีกว่า เพราะไทยเป็นประเทศแรกนอกจากจีนที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในประเทศตั้งแต่เดือน ม.ค. เป็นนักท่องเที่ยวจากเมืองอู่ฮั่นของจีน แต่ไทยกลับควบคุมสถานการณ์ได้ดี ทั้งที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นจำนวนมากช่วงต้นปี
ด้วยเหตุนี้ นิวยอร์กไทม์สจึงมองว่า คำสั่งห้ามเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้ามายังไทยที่มีผลในเดือน เม.ย. รวมถึงการออกคำสั่งล็อกดาวน์ควบคุมการเดินทางของประชากรในประเทศ น่าจะมีผลอย่างมากในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพียงแต่มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไม่มีทางเลี่ยง และจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจของสังคมไทยยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
นิวยอร์ก ไทม์สอ้างอิงการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่าระบบเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวภายในปีนี้ และคาดว่าธุรกิจประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ในไทยอาจต้องเลิกกิจการภายในสิ้นปี เป็นผลจากการระงับกิจการต่างๆ ชั่วคราวในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์ป้องกันโรคระบาด